คลื่น b จะเป็นตัวบอกว่าคลื่นถัดไป หมายถึงคลื่น c จะไปได้ยาวขนาดไหน ถ้าหากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คลื่น b มันก็เหมือนกับสปริง ถ้าเรายิ่งบีบแรงเท่าไร่ เวลาปล่อยสปริงจะไปได้ไกลเท่าไร่ขึ้นอยู่กับแรงที่เราบีบเข้าไหน ดังนั้นถ้าคลื่น b ยิ่งลงลึกขนาดไหน คลื่น C จะไปได้ไกลเท่านั้น
กลับมาสู่คำถามที่ถามว่าคลื่น b สามารถลงลึกได้ขนาดไหน ถ้าเป็นในรูป Zig zag คลื่น b จะลงมาได้ 61.8 ของชุดก่อนหน้านี้ แต่ถ้าเป็นในรูปแบบ Flat คลื่น b จะลงมาได้ ถึง 161.8% ของชุดก่อนหน้า
โดยแบ่งระดับของคลื่น b ใน Flat ดังต่อไปนี้ ถ้าอยู่ระหว่าง 80% - จุดเริ่มต้นของคลื่น A จะเรียนกว่า Normal B ถ้าอยู่ระหว่าง จุดเริ่มต้น - 161.8% ของคลื่น A จะเรียกว่า Strong B ถ้าอยู่ระหว่าง 80% - 61.8% ของคลื่น A จะเรียกว่า B Failure
ตัวที่บอกว่าคลื่น c ไปได้ขนาดไหนขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของคลื่น c ด้วยครับว่าเป็นรูปแบบอะไร
ใน Elliott Wave คลื่นที่สำคัญที่สุดคือคลื่น b
คลื่น b จะเป็นตัวบอกว่าคลื่นถัดไป หมายถึงคลื่น c จะไปได้ยาวขนาดไหน
ถ้าหากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คลื่น b มันก็เหมือนกับสปริง ถ้าเรายิ่งบีบแรงเท่าไร่ เวลาปล่อยสปริงจะไปได้ไกลเท่าไร่ขึ้นอยู่กับแรงที่เราบีบเข้าไหน ดังนั้นถ้าคลื่น b ยิ่งลงลึกขนาดไหน คลื่น C จะไปได้ไกลเท่านั้น
กลับมาสู่คำถามที่ถามว่าคลื่น b สามารถลงลึกได้ขนาดไหน
ถ้าเป็นในรูป Zig zag คลื่น b จะลงมาได้ 61.8 ของชุดก่อนหน้านี้
แต่ถ้าเป็นในรูปแบบ Flat คลื่น b จะลงมาได้ ถึง 161.8% ของชุดก่อนหน้า
โดยแบ่งระดับของคลื่น b ใน Flat ดังต่อไปนี้
ถ้าอยู่ระหว่าง 80% - จุดเริ่มต้นของคลื่น A จะเรียนกว่า Normal B
ถ้าอยู่ระหว่าง จุดเริ่มต้น - 161.8% ของคลื่น A จะเรียกว่า Strong B
ถ้าอยู่ระหว่าง 80% - 61.8% ของคลื่น A จะเรียกว่า B Failure
ตัวที่บอกว่าคลื่น c ไปได้ขนาดไหนขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของคลื่น c ด้วยครับว่าเป็นรูปแบบอะไร